6 สัตว์ปัจจุบันที่กลายพันธุ์จากยุคดึกดำบรรพ์
1.จระเข้
จระเข้เป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ที่สุดในโลก บางชนิดเมื่อโตเต็มที่ อาจมีความยาวถึง 9 เมตร มีอายุยืนถึง 70 ปี เป็นสัตว์เลือดเย็น มีหัวใจครบ 4 ห้องแต่ไม่สมบูรณ์ สมองเจริญเติบโตดีกว่าสัตว์เลื้อยคลานชนิดอื่น ซึ่งปัจจุบันถูกแบ่งเป็น 3 สกุล คือ จระเข้ เอลิเกเตอร์ และตะโขง จากการค้นพบเมื่อล่าสุด ศาตราจารย์มาติน ล็อคเลย์ จากมหาวิทยาลัยโคโลล่าเดนเวอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า สัตว์ดึกดำบรรพ์ที่กลายพันธุ์มาเป็นจระเข้ นั้นก็คือ Batrachopus grandis
ที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 110-120 ล้านปีก่อน เพราะนอกจากความคล้ายคลึง จระเข้ปัจจุบันแล้วก็ยังมีโครงสร้างฟันกราม มีซี่ฟันที่แหลมคม และมีขนาดลำตัวมหึมาที่ความยาวกว่า 4 เมตร น้ำหนักที่มากถึง 500 กิโลกรัม กะโหลกมีลักษณะใหญ่ จระเข้ชนิดนี้ ยังมีความยาวขาใกล้เคียงกันมนุษย์และยังสามารถเดิน 2 ขาได้อีกต่างหาก เพราะลักษณะการเดินลงน้ำหนักที่ส่วนแบ่งของฝ่าเท้านั้นเหมือนมนุษย์ ในขณะที่ไดโนเสาร์จะเดินลงน้ำหนักเน้นที่หัวแม่เท้ามากกว่า มีการเดินเป็นเส้นตรงไม่มีรอยลากหาง ไม่มีรอยของสองเท้าหน้า และลำตัวขึ้นตรงในระดับนึง
2.นก
นกเป็นสัตว์ปีกที่มีความสวยงาม มีเอกลักษณ์และมีสเน่ห์ในตัวเองที่แตกต่างกันไป และนอกเหนือจากการที่นกจะเป็นสิ่งประดับในธรรมชาติสวยงามแล้ว นกจะมีบทบาทสำคัญมากต่อการคงอยู่ของสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะพวกพืช และต่อการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การเป็นผู้ผสมเกสรดอกไม้ กระจายเมล็ดพันธุ์ และการเป็นทั้งเหยื่อและผู้ล่าของห่วงโซ่อาหารตามธรรมชาติและระบบนิเวศ นกที่เราพบเห็นอยู่ทุกวันนี้ มีการสันนิษฐานว่า อาจจะถูกการกลายพันธุ์มาจาก Archaeopteryx
ซึ่งเป็นสกุลของไดโนเสาร์เทอโรพอด มันมีชีวิตในช่วงปลายของยุค Jurassic หรือประมาณ 150 ล้านปีมาแล้ว มีขนาดและรูปร่างคล้ายนกสาลิกาปากดำ ตัวใหญ่ที่สุดอาจมีขนาดเท่านก raven มีความยาวของลำตัวได้ถึง 0.5 เมตร กล่าวคือเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก มีปีกกว้าง และสันนิษฐานได้ว่า มีความสามารถในการบินหรือเดินได้ ซีงมีขนาดเล็กมากกว่าลักษณะของนกในปัจจุบัน มีลักษณะของกรามที่ฟันแหลมคม มีนิ้ว 3 นิ้ว มีกรงเล็บ มีกระดุกหางยาว มีนิ้วเท้านิ้วที่สองยืนยาวออกไปมากเป็นพิเศษ มีขนแบบนก ซึ่งแสดงลักษณะของสัตว์เลือดอุ่นและลักษณะโครงกระดูกอื่นๆอีกหลายประการ ทำให้ Archaeopteryx น่าจะเป็นบรรพบุรุษของนกในปัจจุบัน
3.ช้าง
ช้าง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ ปัจจุบันมีอยู่ 3 สปีชีต์ คือช้าง แอฟริกา ช้างป่าแอฟริกา ช้างเอเชีย ลักษณะเด่นของช้างทุกชนิดได้แก่ งวงยาว หูกางขนาดใหญ่ ขาใหญ่ และผิวหนังที่หนาแต่ละเอียดอ่อน และช้างยังเป็นสัตว์บกขนาดใหญ่ที่สุด เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน วิวัตนาการของช้างเริ่มขึ้นเมื่อกว่า 40 ล้านปีที่แล้ว ในทวีปแอฟริกา เริ่มต้นจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ขนาดเท่าหมูที่ชื่อว่า Moeritherium
สัตว์ชนิดนี้หนักประมาณ 100 กิโลกรัม และยังไม่มีงวงและงาแต่อย่างใด จากหลักฐานซากดึกดำบรรพ์ แสดงให้เห็นว่า Moeritherium ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ตามหนองน้ำ และกินอาหารจำพวกพืชใบอ่อน และมีพฤติกรรมหลายอย่างที่คล้ายกับฮิปโปโปเตมัสในปัจจุบัน เมื่อสภาพอากาศของโลกเย็นลง ป่าดิบชื้น และพื้นที่หนองบึงที่เคยมีอยู่มากมายในทวีปแอฟริกาเริ่มลดน้อย พวก Moeritherium ต้องเดินทางไกลขึ้นเพื่อหาแหล่งน้ำ และอาหาร ทำให้ขาของพวกมันเริ่มยาวขึ้น การมีขาที่ยาวขึ้นแม้จะมีข้อดีทำให้เดินทางได้ไกลและเร็วขึ้น แต่ก็ทำให้การกินอาหารตามพื้นทำได้ยาก พวกมันจึงเริ่มพัฒนาริมฝีปากบนและจมูกให้ยาวขึ้น จนมีลักษณะเป็นงวงสั้นๆ
จนกระทั่งเมื่อ 10 ล้านปีที่แล้ว ช้างยุคแรกก็มีวิวัฒนาการจนมีลักษณะของฟันและงาในรูปแบบต่างๆ ให้เหมาะกับการหาอาหารของพวกมัน
4.เต่า
เต่า สัตว์ที่จัดอยู่ในจำพวกสัตว์เลือดเย็นในชั้นสัตว์เลื้อยคลานเป็นสัตว์ที่มีวิวัฒนาการมาแล้วกว่า 200 ล้านปี ซึ่งเต่านั้นถือเป็นเต่าที่มีอายุยืนมากที่สุดชนิดนึง โดยเต่าจะมีกระดูกที่แข็งคลุมบริเวณหลังเรียกว่า กระดอง ประกอบไปด้วย แคลเซียมซะส่วนใหญ่ โดยจะสามารถหดหัว ขา และหาง เข้าไปในกระดองเพื่อป้องกันตัวได้ แต่เต่าบางชนิดก็ไม่สามารถทำได้ เต่าเป็นสัตว์ที่ไม่มีฟัน แต่มีริมฝีปากที่แข็งแรงและคม ใช้คบกัดอาหารแทนฟัน บรรพบุรุษเต่าที่มีกระดองหน้าท้องในสมัยดึกดำบรรพ์มีชื่อว่า Odontochelys Semitestacea
ที่แปลว่า เต่าที่มีฟันและกระดองครึ่งเดียว เป็นสัตว์น้ำเคยมีชีวิตอยู่บนโลกของเราในยุคไทรแอสซิกตอนปลาย รุปร่างหน้าตาของพวกมันคล้ายกับเต่าในปัจจุบัน เพียงแต่มีกระดองที่บริเวณหน้าท้องเท่านั้น เอาไว้ป้องกันนักล่า ที่มักโจมตีจากด้านล่างเมื่ออยู่ในน้ำ ได้พบฟอสซิ่วจำนวน 3 ชิ้นที่มีความเก่าแก่ ประมาณ 220 ล้านปีก่อน ในพื้นที่ของเมือง กุยโจ ประเทศจีน ซึ่งมีความแตกต่างจากยุคปัจจุบัน ที่กรามจะมีฟันฝังอยู่ในขากรรไกรบนและล่าง ขณะที่เต่าไม่มีฟันและมีเพียงส่วนล่างของกระดองที่เกิดจากกระดูกซี่โครงที่ขยายกว้างขึ้น เช่นเดียวกับตัวอ่อนเต่าสมัยใหม่ ที่ยังไม่ได้เริ่มพัฒนาแผ่นกระดองหลัง
5.เสือ
สัตว์ในกลุ่มเสือซึ่งหมายถึง เสือและแมว ทุกชนิด เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่มีขนปกคลุมทั่วทั้งร่างกาย มีปอดไว้สำหรับหายใจ หัวใจมี 4 ห้อง มีเคี้ยวไว้ใช้ฆ่าเหยื่อ มีฟันกรามที่คมเหมือนมีดไว้สำหรับตัดเนื้อ ซึ่งพัฒนามาจากฟันกรามที่ทำหน้าที่สำหรับบดเคี้ยว มีข้อต่อสำหรับกระดูกสันหลังที่ยืดหยุ่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่ง การเร่งความเร็วในการวิ่ง และการกระโจน มีนิ้วเท้า 5 นิ้ว และเล็บที่แหลมคม สัตว์กินเนื้อเริ่มปรากฏตัวขึ้นในโลก เมื่อประมาณ 65 ล้านปีก่อน ก็คือ Miacidae
ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ขนาดเล็ก ลำตัวยาว มีหางสั้น มีอวัยวะที่ยืนออกมาจากลำตัว และข้อต่อที่สามารถยืดหยุ่นได้เป็นอย่างดี ลักษณะของ Miacidae คล้ายกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กในปัจจุบันคือ Genets ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายกับสัตว์จำพวกชะมด มีขนาดสมองที่เล็ก สำหรับสัตว์ในกลุ่มของเสือปัจจุบันคือ Smilodon ที่เรียกว่าสัตว์ในกลุ่มเสือที่แท้จริง รวมถึงเสือเคี้ยวดาบ บางชนิดที่สูญพันธ์ไปแล้วด้วย
6.สุนัข
สัตว์ที่ขึ้นชื่อว่า ซื่อสัตย์ที่สุดในโลก ก็มีวิวัฒนาการจากยุคดึกดำบรรพ์เช่นกัน สุนัขเป็นลูกหลานหมาป่าที่ปรับตัวเป็นสัตว์เลี้ยง ที่มักชูหางขึ้นสูง สืบสายพันธุ์มาจากหมาป่าโบราณที่สูญพันธ์ไปแล้ว วิวัฒนาการมาจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยที่มีชื่อว่า Canids เมื่อประมาณ 35-40 ล้านปีที่ผ่านมา บรรพบุรุษที่แท้จริงของสุนัขที่ได้รับการยืนยันนั้นคือ hesperocyon
มีลักษณะไม่คล้ายกับสุนัขสะทีเดียว ลักษณะที่สำคัญของ hesperocyon คือโครงสร้างหู ภายในกะโหลกศีรษะ ซึ่งล้อมรอบด้วยกระดูกมากกว่ากระดูกอ่อน hesperocyon ยังมีฟันทั้งหมด 42 ซี่ และมีฟันแบบตัดเนื้อพิเศษ ขาทั้ง 4 ช้าง มีขนาดสั้น เพราะสามารถเร่งความเร็วได้ดี เพื่ออำนวยต่อการโจมตีศัตรูได้โดยง่ายๆ hesperocyon เป็นสัตว์กินเนื้อเป็นหลัก และกินพืชบ้างเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะผลไม้ และผักตามฤดูกาลที่อยู่ตามดินเป็นอาหารของมันเพื่อดำรงชีวิต
ในความเป็นจริงแล้วจะมีสัตว์มากมายอีกหลายชนิด ที่ยังมีวิวัฒนาการมาจากยุคดึกดำบรรพ์ ซึ่งบางชนิดอาจมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เหมือนอย่างสัตว์ 6 ชนิดที่เราได้นำเสนอไปหรือบางชนิดก็ยังคงสภาพคล้ายเดิมจากในยุคดึกดำบรรพ์ มาจนถึงยุคปัจจุบัน ให้เราได้เห็นกันอย่างทุกวันนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราเป็นมนุษย์ สิ่งที่มีชีวิตที่มีวิวัฒนาการจากยุคดึกดำบรรพ์เช่นเดียวกัน แต่เราสามารถใช้เหตุผลและความรู้สึกได้ดีกว่าสัตว์ชนิดอื่นบนโลก เราควรอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่ยังอยู่บนโลกนี้ไว้ ไม่ให้สูญพันธ์จนกลายเป็นเพียงแค่เรื่องเล่า ที่พูดต่อกันไป ให้ลูกหลานฟัง เท่านั้นครับ

Bactocel 4001 ผลิตภัณฑ์ชีวภาพกำจัดกลิ่นเหม็นและของเสียในคอกสัตว์
แบคโตเซล 4001 คือ กลุ่มของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ สามารถช่วยย่อยสลายสิ่งปฏิกูลและเศษอาหารที่เหลือตกค้างในคอกสัตว์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นช่วยป้องกันโรคต่างๆ ที่เกิดกับสัตว์เลี้ยง ตลอดจนปัญหาแมลงวันรบกวนจะหมดไปรวมถึงช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับมลภาวะต่างๆ ที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญภานในฟาร์ม และชุมชนให้หมดไป
คุณสมบัติ
1. ย่อยสลายสิ่งปฏิกูลและเศษอาหารที่เหลือตกค้างในคอกสัตว์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นช่วยป้องกันโรคต่าง ๆเกิดกับสัตว์เลี้ยง
วิธีการใช้
1. คอกหมู : ใช้ แบคโตเซล 4001 ในอัตรา 100 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วพื้นที่คอก สัปดาห์ละครั้ง ทำให้คอกสัตว์สะอาด ปราศจากกลิ่นเหม็นและแมลงวัน อีกทั้งสามารถป้องกันโรคต่างๆได้ หากหมูเป็นโรคปากเท้าเปื่อย ให้ใช้ แบคโตเซล 4001 ผสมน้ำฉีดพ่นให้ทั่วตัว และบริเวณกีบเท้า อาการจะค่อยๆ ทุเลาลง
2. คอกวัว : ใช้แบคโตเซล 4001 ในอัตราเดียวกันฉีดพ่นให้ทั่วพื้นที่คอกกลิ่นเหม็นและแมลงวันจะลดลงและหมดไปในที่สุด อีกทั้งช่วยป้องกันโรคกีบเท้าเปื่อยในวัวเนื้อและวัวนมอีกด้วย
3. ฟาร์มไก่ : ใช้แบคโตเซล 4001 ในอัตราเดียวกัน ฉีดพ่นให้ทั่วพื้นที่บริเวณใต้เล้าไก่และที่รองรับมูลไก่ สำหรับไก่ไข่ จะสามารถกำจัดแก๊สไข่เน่า แก๊สแอมโมเนีย ซึ่งเป็นสาเหตที่ทำให้ไก่เป็นโรคตาอักเสบและโรคระบบทางเดินหายใจ ซึ่งทำให้ไก่ไข่น้อยลง เปลือกไข่บางมีเปอร์เซ็นต์ไข่ร้าวและแตกสูง
ขนาดบรรจุ ; 300cc/1000cc/5000cc